ข้อแตกต่างที่ควรต้องรู้ เกี่ยวกับลมยาง

จุดสังเกตง่าย ๆ เวลาที่ใช้รถยนต์ก็คือเรื่องของลมยาง เราจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเวลาเราขับรถนอกจากเรื่องของระบบภายใน อาทิ แอร์, เบรก, คันเร่ง, ที่ปัดน้ำฝน ซึ่งเราต้องใช้เป็นประจำอยู่แล้วในการขับรถ ยางเองก็เป็นสิ่งที่เราสามารถจับความรู้สึกได้ง่ายไม่แพ้กัน ที่สำคัญคือยางรถยนต์เป็นส่วนสำคัญของรถที่เราจำเป็นต้องดูแลมากกว่าส่วนอื่น เพราะหากว่ายางเกิดปัญหานั่นอาจหมายถึงว่าเสี่ยงต่ออุบัติเหตุถึงชีวิตได้เลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นหลายคนไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องของการเติมลมยาง หลายคนมักเข้าใจว่าถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาต้องเติมลมให้แข็งเข้าไว้ ทว่าจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะอ่อนหรือแข็งก็มีทั้งข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป
ข้อแตกต่างที่ควรต้องรู้

การเติมลมยางอ่อน
เรามักจะรู้สึกได้ว่าหากลมยางอ่อน ข้อดีของมันก็คือจะทำให้สมรรถนะขณะขับขี่มีความนิ่มนวล เวลาขับแล้วจะรู้สึกได้ว่าช่วงล่างมีความเบาสบาย แต่ข้อเสียของการเติมลมยางอ่อนคือจะทำให้เปลืองน้ำมัน เหตุเพราะเครื่องยนต์ต้องทำงานหนักเพื่อให้รถสามารถวิ่งไปข้างหน้าได้ในความเร็วตามต้องการ นอกจากนี้การใช้ยางที่อ่อนกว่าปกติก็มีความเสี่ยงต่อการที่ขับรถไปแล้วยางจะระเบิดได้เนื่องจากเวลาที่รถขับไปบนท้องถนนจะมีการโยกตัวขึ้นลงตลอดเวลา บวกกับสภาพถนนหนทางและน้ำหนักภายในรถหากยางอ่อนจะส่งผลให้แก้มยางบิดตัวจนเกิดความร้อนสูง แรงดันลมภายในจะเกิดการขยายตัวอย่างมหาศาล บริเวณแก้มยางที่ลมอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็จะเกิดการหดจนเหลือแค่นิดเดียวสุดท้ายยางก็จะเกิดอาการผิดรูปและระเบิดได้ในที่สุด
การเติมลมยางแข็ง
ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนคือการออกตัวของรถที่มีความพุ่งแรงมากขึ้นกว่าเดิม เวลาขับแล้วจะรู้สึกว่ารถไปได้เร็วกว่าปกติ ประหยัดน้ำมันมากกว่า แต่ข้อเสียของการเติมลมยางแข็งเกินไปนั่นคือประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนด้อยลงไม่ว่าจะเป็นทางโค้งฝนตกหรือเวลาเบรกเกิดความแข็งกระด้างทำให้เวลาขับรถในเส้นทางที่ขรุขระจะเกิดการกระแทกที่รุนแรงกว่าปกติ ส่งผลต่อระบบช่วงล่างซึ่งหากเกิดเเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ๆ ก็เสี่ยงต่อยางพังหรือการระเบิดได้เช่นเดียวกัน ทางที่ดีที่สุดคือควรเลือกเติมลมยางให้เหมาะสมกับประเภทของรถโดยรถเก๋งขนาดเล็กอยู่ประมาณ 25-30 ปอนด์, รถเก๋งขนาดกลางถึงใหญ่อยู่ประมาณ 30-35 ปอนด์ และรถกระบะไม่เกิน 65 ปอนด์ หรือถ้าหากว่าจำเป็นต้องวิ่งระยะไกลมาก ๆ
ก็อาจเผื่อจากการเติมปกติไปอีก 3-5 ปอนด์