ทำไมเลขยางต้องลงท้ายด้วยเลข 5
![ทำไมต้องลงท้ายด้วย5](https://sahasainuea.com/wp-content/uploads/2024/08/ทำไมต้องลงท้ายด้วย5-300x300.png)
หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าตัวเลขบริเวณแก้มยางบ่งบอกถึงขนาดของยางแต่ละเส้นที่แตกต่างกันออกไป แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมตัวเลขที่แสดงถึงขนาดความกว้างของหน้ายาง ถึงลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ
เลขแก้มยางคืออะไร?
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจรหัสบนแก้มยางกันก่อนดีกว่า โดยรหัสดังกล่าวจะเป็นชุดตัวเลขที่บ่งบอกถึงขนาดยางแต่ละเส้น จะได้เลือกใส่ให้ตรงกับสเปกของรถแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น
“225 / 45 R17”
![car_tyre_02](https://sahasainuea.com/wp-content/uploads/2024/08/car_tyre_02.jpg)
ทำไมขนาดความกว้างยางต้องลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ?
หากใครเคยเลือกซื้อยางรถยนต์จะพบว่า ยางรถยนต์ทุกขนาดจะมีความกว้างของยางลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ (เช่น 195, 205, 215,….) โดยเราไม่มีทางพบเห็นยางรถยนต์ที่มีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 0 ได้เลย
นั่นเป็นเพราะหน่วยงานที่เรียกว่า ETRTO หรือ European Tyre & Rim Technical Organization ตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1964 มีหน้าที่กำหนดรูปแบบมาตรฐานของยางสำหรับวางจำหน่ายในยุโรป กำหนดให้ยางที่ใช้สำหรับรถยนต์นั่ง (Passenger Car), รถกระบะ/รถบรรทุกขนาดเล็ก (Light Truck) และรถเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Vehicle) จะต้องมีขนาดความกว้างหน้าตัดยางลงท้ายด้วยเลข 5 เพื่อลดความสับสนกับยางสำหรับรถจักรยานยนต์ (Motorcycle) และรถเพื่อการเกษตร (Agricultural Vehicle) ที่กำหนดให้ลงท้ายด้วยเลข 0 นั่นเอง
นั่นจึงเป็นสาเหตุว่ายางรถยนต์ทุกเส้นบนโลกจะมีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ ต่างกับยางรถจักรยานยนต์ที่จะลงท้ายด้วยเลข 0 แทน
![motorcycle_tyre_01](https://sahasainuea.com/wp-content/uploads/2024/08/motorcycle_tyre_01.jpg)
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร จะใช้ระบบการวัดแบบอิมพีเรียล (Imperial Units) ที่มีหน่วยเป็นนิ้ว, ไมล์, ฟุต และยาร์ด แต่หากพูดถึงขนาดของยางรถยนต์ พวกเขาเลือกที่จะใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
Reference
เพิ่งจะรู้! ทำไมรหัสยางรถยนต์ต้องลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ