ทำไมเลขยางต้องลงท้ายด้วยเลข 5

หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าตัวเลขบริเวณแก้มยางบ่งบอกถึงขนาดของยางแต่ละเส้นที่แตกต่างกันออกไป แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมตัวเลขที่แสดงถึงขนาดความกว้างของหน้ายาง ถึงลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ

เลขแก้มยางคืออะไร?

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจรหัสบนแก้มยางกันก่อนดีกว่า โดยรหัสดังกล่าวจะเป็นชุดตัวเลขที่บ่งบอกถึงขนาดยางแต่ละเส้น จะได้เลือกใส่ให้ตรงกับสเปกของรถแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น

“225 / 45 R17”

ทำไมขนาดความกว้างยางต้องลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ?

หากใครเคยเลือกซื้อยางรถยนต์จะพบว่า ยางรถยนต์ทุกขนาดจะมีความกว้างของยางลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ (เช่น 195, 205, 215,….) โดยเราไม่มีทางพบเห็นยางรถยนต์ที่มีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 0 ได้เลย

นั่นเป็นเพราะหน่วยงานที่เรียกว่า ETRTO หรือ European Tyre & Rim Technical Organization ตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1964 มีหน้าที่กำหนดรูปแบบมาตรฐานของยางสำหรับวางจำหน่ายในยุโรป กำหนดให้ยางที่ใช้สำหรับรถยนต์นั่ง (Passenger Car), รถกระบะ/รถบรรทุกขนาดเล็ก (Light Truck) และรถเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Vehicle) จะต้องมีขนาดความกว้างหน้าตัดยางลงท้ายด้วยเลข 5 เพื่อลดความสับสนกับยางสำหรับรถจักรยานยนต์ (Motorcycle) และรถเพื่อการเกษตร (Agricultural Vehicle) ที่กำหนดให้ลงท้ายด้วยเลข 0 นั่นเอง

นั่นจึงเป็นสาเหตุว่ายางรถยนต์ทุกเส้นบนโลกจะมีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ ต่างกับยางรถจักรยานยนต์ที่จะลงท้ายด้วยเลข 0 แทน

แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร จะใช้ระบบการวัดแบบอิมพีเรียล (Imperial Units) ที่มีหน่วยเป็นนิ้ว, ไมล์, ฟุต และยาร์ด แต่หากพูดถึงขนาดของยางรถยนต์ พวกเขาเลือกที่จะใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

Reference

เพิ่งจะรู้! ทำไมรหัสยางรถยนต์ต้องลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ

URL : https://www.sanook.com/auto/91443/