วางแผนภาษีอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตในยุคดิจิทัล #1
วางแผนภาษีเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ธุรกิจมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากมีการวางแผนภาษีที่ผิดพลาด จะส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และอาจทำให้เกิดปัญหาที่มีผลทางกฎหมายตามมาด้วย บทความนี้จะนำเสนอความหมาย ความสำคัญของการวางแผนภาษี ตลอดจนแนวทางการวางแผนภาษีให้ธุรกิจเติบโต
วางแผนภาษีคืออะไร?
การวางแผนภาษี คือ การวางแผนเพื่อดำเนินการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ตลอดจนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ อย่างคุ้มค่า เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้น้อยลง สามารถชำระภาษีได้ตรงตามกำหนด และประหยัดค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเสียภาษีไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม หรือค่าปรับทางกฎหมายต่าง ๆ
วางแผนภาษีมีความสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ
การวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลายประการด้วยกัน ดังนี้
1. ช่วยให้การเสียภาษีของธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้องและครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามกฎหมายภาษีอากร
2. ช่วยให้กิจการประหยัดภาษี ด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากมาตรการลดหย่อนภาษีจากทางภาครัฐ เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุนด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในช่วงระยะเวลาที่กำหนด สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุหรือผู้พิการ เป็นต้น
3. ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร หากกิจการมีการวางแผนภาษีที่ดี จะช่วยให้การเสียภาษีต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงในการเรียกตรวจสอบภายหลัง และช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการเสียเบี้ยปรับเงินเพิ่มที่อาจเกิดขึ้นได้
4. การวางแผนภาษีช่วยทำให้ระบบเอกสารทางบัญชีและภาษีมีความเป็นมาตรฐาน เป็นไปตามกฎหมายกำหนด
5. ช่วยส่งเสริมระบบการควบคุมภายในของกิจการให้มีประสิทธิภาพ ในการวางแผนภาษีมีขั้นตอนสำคัญก็คือการศึกษาแนวปฏิบัติของธุรกิจ ทำให้เห็นปัญหาของระบบการทำงาน จุดเสี่ยง สิ่งที่ควรปรับปรุงไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งในจุดนี้สามารถนำไปปรับปรุง พัฒนาให้ระบบการควบคุมภายในของกิจการมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
วางแผนภาษีอย่างไร ให้ธุรกิจเติบโต
การวางแผนภาษีอากรเป็นสิ่งที่ควรกระทำทันทีที่เริ่มต้นประกอบธุรกิจ และต้องกระทำต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ โดยสิ่งสำคัญที่จะวางแผนภาษีให้ประสบความสำเร็จนั้นประกอบไปด้วย
1. กำหนดประเภทธุรกิจให้ชัดเจน
ธุรกิจนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา เช่น ร้านค้าต่าง ๆ และธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล เช่น บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจ ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาเป็นอย่างดีว่าธุรกิจในแต่ละประเภทนั้นจะเสียภาษีแตกต่างกันอย่างไร และธุรกิจของเรานั้นจะจัดอยู่ในธุรกิจประเภทใด เพื่อที่จะดำเนินการเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้อง
2. ศึกษาเรื่องการเสียภาษีอย่างถูกต้อง
การที่จะวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs จะต้องมีความเข้าใจภาษีแต่ละประเภทเป็นอย่างดี เพื่อจะได้รู้ว่าธุรกิจของตัวเองนั้นจะต้องเสียภาษีประเภทใดบ้าง ซึ่งภาษีที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจนั้นมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ได้แก่
2.1. ภาษีเงินได้
ภาษีเงินได้นั้นจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน ดังนี้
• ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีสำหรับบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ประกอบกิจการด้วยการให้บริการ การผลิต ค้าปลีก ค้าส่ง ต้องนำรายได้มาคำนวณเพื่อหักภาษีตามเกณฑ์การประเมิน ซึ่งสามารถหักแบบเหมาจ่ายหรือขอหักตามสมควรได้ การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะต้องเสียภาษีเงินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของยอดเงินได้พึงประเมินที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ไม่ว่าในปีนั้น ๆ จะมีผลกำไรหรือขาดทุน
• ภาษีนิติบุคคล เป็นภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคลในรูปแบบบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยกรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บเพื่อนำส่งรายได้ให้ภาครัฐ โดยเก็บในอัตราสูงสุดไม่เกิน 30% ของกำไรสุทธิ
2.2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขาย โดยผู้มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็คือ ผู้ประกอบการมียอดขายมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะประกอบไปด้วย
• ภาษีขาย คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียกเก็บจากผู้ซื้อในการขายสินค้าหรือบริการ
• ภาษีซื้อ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการต้องชำระให้ผู้ขายในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น
2.3 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นการจัดเก็บภาษีล่วงหน้า กำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับทุกครั้งที่จ่าย ซึ่งการหักภาษีต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด หลังจากนั้นให้นำเงินส่งกรมสรรพากร
กรณีกิจการจดเป็นนิติบุคคลและจ่ายเงินเดือนให้กับลูกจ้าง หรือจ่ายให้กับผู้รับจ้างทำของนิติบุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ และเหลือเท่าไหร่ก็จ่ายเป็นเงินไปพร้อมใบภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กับผู้รับเงิน
2.4 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
เป็นภาษีรายปีที่เก็บและคิดจากมูลค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่เราครอบครอง โดยมีองค์กรท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบต. เป็นผู้จัดเก็บ โดยผู้ที่ต้องเสียภาษีที่ดินนี้จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือผู้ครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินนั้น โดยจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
2.5 ภาษีป้าย
เป็นภาษีที่เก็บจากการแสดงป้ายชื่อ ยี่ห้อ หรือโลโก้ ที่ใช้เพื่อหารายได้หรือการโฆษณา โดยภาษีป้ายจะคิดจากขนาดของป้ายเริ่มต้นที่ 200 บาท ต้องยื่นชำระที่สำนักงานเขตหรืออำเภอที่ตั้งของป้าย ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
2.6. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
เป็นภาษีตามประมวลรัษฎากรประเภทหนึ่ง จัดเก็บจากการประกอบกิจการเฉพาะอย่างแทนภาษีการค้าที่ถูกยกเลิก ภาษีธุรกิจเฉพาะเริ่มใช้บังคับใน พ.ศ.2535 โดยผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ได้แก่ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจบางประเภท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน หลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
3. ศึกษาช่องทางการลดหย่อนภาษี
ในส่วนของช่องทางการลดหย่อนภาษี จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ นโยบายของภาครัฐ สามารถนำมาวางแผนใช้สิทธิ์ในการหักลดหย่อนได้เป็นอย่างดี เช่น มาตรการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง EDC) มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริม SMEs ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้ประกอบการควรศึกษารายละเอียดของมาตรการเหล่านี้ให้ครบถ้วน เพื่อมาใช้วางแผนภาษีของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังต้องศึกษาข้อมูลการนำค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาหักภาษีได้อย่างรอบด้าน เช่น ค่าใช้จ่ายจากการลงทุน ตลอดจนการซื้อประกันต่าง ๆ เช่น ประกันพนักงาน ที่เป็นตามเกณฑ์ของกรมสรรพากร ซึ่งหากเจ้าของธุรกิจวางแผนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างถูกต้อง ย่อมส่งผลดีต่อสภาพคล่องทางการเงินของกิจการอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องควรอัปเดตข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสม่ำเสมอด้วย
4. หาที่ปรึกษาทางภาษี
เนื่องจากเรื่องของการวางแผนภาษีนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นการมองหาที่ปรึกษาดี ๆ หรือผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำอาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างคล่องตัว และไม่มีปัญหาด้านกฎหมายตามมา
Reference
วางแผนภาษีอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตในยุคดิจิทัล #1